วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ดอกทานตะวัน


ณ. โบสถ์ที่ถูกปิดตายมานานนับปี หากผู้ใดพบเห็นคงสะท้อนใจดวงจิต นึกสงสารหญิงงามที่ถูกทรมานกักขังด้วยเหตุใดมิมีผู้ใดล่วงรู้

หญิงงามผู้นี้มีนามว่า ไคลธี สาเหตุที่นางถูกกักขังอาจเป็นเพราะความงามที่ไม่มีหญิงใดมาเทียบเทียมหรือ เพราะความใจดำของบิดาที่สั่งปิดตายยังสถานที่ที่นั่นโดยไร้ความเมตตาปราณี นางได้จำใจนิ่งอดทนอดกลั้นกับการที่ต้องถูกจองจำอย่างไร้อิสรภาพ

แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อนางสำรวจรอบๆ บริเวณซึ่งขณะนี้ไร้คนคุ้มกันหรือแม้แต่ข้ารับใช้ เพราะปัญญาอันเฉียบแหลม เธอได้หนีออกมาจากที่นั่นเพื่อไปยลแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ที่มอบแสงนั้นมันรูปร่างหน้าตาอย่างไรนางมิเคยรู้มาก่อน การหลุดพ้นครั้งนี้นางต้องได้เชยชมสมดั่งใจเป็นแน่แท้

กลางทุ้งหญ้าเขียวขจี นางนั่งเฝ้ามองรอคอยที่จะยลดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่น ซึ่งขณะนั้น เทพอะพอลโลควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน เพียงแรกพบนางถึงกับหลงใหลชายหนุ่มรูปงามนึกภาพตามในฝันตลอดการกลับมายัง โบสถ์

และทุกๆ วันนางหนีออกมาเพื่อที่จะรอพบพานชายในดวงจิตถึงแม้ต้องเจอกับขวากหนามหรือ การลงทัณฑ์เช่นไรนางมิเคยกลัว ขอเพียงได้เฝ้ามองชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมา พร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่นางมอบให้เพียงสักนิด นางได้แต่หวังว่าหากคงจะมีสักวันที่ชายหนุ่มเหลียวมามองเธอบ้าง

เจ้าหญิงไคลธีตัดสินใจหนีออกจากการพันธนาการตลอด ชีวิตด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อเทพอะพอลโลที่นางได้เฝ้ามองมาตลอด ถึงแม้จะไม่อยู่ในสายตาแต่เพราะความรักที่เปี่ยมล้นดวงจิตนางจึงตั้งมั่นอธิ ฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้า ด้วยความรักที่นางมอบให้ชายคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา หากเธอลับลาไปขอให้เธอได้เป็นทวยเทพแห่งผกา ที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล

หากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่อง อำพันเป็นกลีบดอกเหลือง ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าตลอดไปด้วยเทอญ

หลังจากเจ้าหญิงไคลีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหัน มองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล

ดอกทานตะวันจึงเปรียบเสมือนดอกแห่งความรักที่ ซื่อสัตย์และมั่นคง หากมอบดอกทานตะวันให้คนรัก คนๆ นั้นก็คือคนที่เราจะรักและซื่อสัตย์ไปตลอดกาล เฉกเช่นนางไคลธีที่รักดวงอาทิตย์ของเธอตราบสิ้นนานเท่านาน

ประวัติหมีแพนด้า







เนื่องจากในสมัยดึกดำบรรพ์ แพนด้ายักษ์ หรือ ต้าสงเมา มีอยู่มากมาย กระจายตามถิ่นต่างๆทั่วประเทศจีน ในบันทึกเรื่องเกี่ยวกับแพนด้าของจีน จึงมีคำเรียกสัตว์ชนิดนี้ ในภาษาจีนแตกต่างหลากหลาย อาทิ ‘ผี’หรือ‘ผีซิ่ว’(ชื่อที่เรียกในสมัยโบราณ) ‘ไป๋สง’(หมีขาว) ‘ฮัวสง’(หมีลาย) ‘จู๋สง’(หมีไผ่) บางถิ่นเรียกแตกต่างออกไป เช่น แถบเทือกเขาหมินซันบริเวณถิ่นที่อยู่ของชนชาติทิเบต เรียก ‘ตั้ง’ หรือ ‘ตู้ต้งก่า’ แต่ชนชาติอี๋แถบเทือกเขาเหลียงซัน เรียก ‘เอ๋อชีว์’ เป็นต้น
熊猫 (สงเมา) คำเรียกแพนด้าในภาษาจีนกลาง ‘สง’แปลว่า หมี ‘เมา’แปลว่า แมว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ailuropoda melanoleuca แปลว่า สัตว์ที่มีลำตัวเป็นสีขาวดำ มีเท้าเหมือนแมว
‘สงเมา’ (แมวที่เหมือนหมี) เป็นคำเรียกในปัจจุบัน แต่จริงๆแล้ว ช่วงจีนก่อนยุคปลดแอกได้เคยเรียกแพนด้าว่า ‘เมาสง’(หมีที่เหมือนแมว)มาก่อนนะจ๊ะ 猫熊(เมาสง) เป็นศัพท์บัญญัติขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์จีนยุคปัจจุบัน หมายถึง สัตว์ที่มีหน้าตากลมๆอ้วนๆคล้ายแมว แต่รูปร่างใหญ่คล้ายหมี จนบางคนถึงกับจัดมันให้อยู่ในประเภทเดียวกันกับหมี
เนื่องจากคนจีนในสมัยก่อนเวลาเขียนหนังสือจะเขียนตัวอักษรไล่จากบนลง ล่างตามแนวตั้ง และอ่านจากแถวขวาไปซ้าย ซึ่งแตกต่างจากการเขียนในปัจจุบัน ที่เรียงตัวอักษรตามแนวนอน และอ่านจากซ้ายไปขวา มีครั้งหนึ่งเมื่อพิพิธภัณฑ์เป่ยเป้ย ในมณฑลซื่อชวน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแพนด้าในประเทศจีน ได้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าเมาสงนี้ และได้เขียนคำอธิบายตามแบบการเขียนในปัจจุบัน แต่บังเอิญมีผู้เข้าชมคนหนึ่งแกติดนิสัย การอ่านหนังสือแบบจีนรุ่นเก่า เลยอ่าน ‘เมาสง’ เป็น ‘สงเมา’ เสียนี่ ตั้งแต่นั้นจึงเรียกติดปากกันต่อๆมาอย่างผิดๆนี่แหละ
อย่างไรก็ตามจะแมวหมีหรือหมีแมว นักชีววิทยาก็จัดแพนด้าอยู่ในสัตว์ประเภทหมี ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ประเภทเดียวกับแมวจ้า

การปลูกต้นหยก



การผลิตหยก ประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ 2 ขั้นตอน คือ:

1. การเตรียมต้นตอ:
ต้นตอ ใช้ต้นส้มเช้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia meriifolia Linn. syn. E. ligularia Roxb.อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 4-5 ฟุต เปลือกของลำต้นสีเขียว มียางมากเป็นพิเศษ ตอนเช้าจะมีรสเปรี้ยวจัดมาก ตอนสายรสเปรี้ยวจะลดน้อยลงทันที และตอนกลางวันรสเปรี้ยวจะหมดไป จึงเรียกว่าส้มเช้า ต้นส้มเช้าเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพความแห้งแล้งได้ดี สามารถเจริญงอกงามได้ดีกับดินทุกชนิด เดิมใช้ต้นส้มเช้าซึ่งมีลักษณะต้นเหลี่ยม แต่เนื่องจากต้นตอเหลี่ยม ใบจะเหลืองและร่วงง่าย และมักเป็นโรคที่ใบได้ง่าย โดยเฉพาะราสนิม และแคงเกอร์ เมื่อมีการพบต้นส้มเช้าตอกลมโดยบังเอิญแล้วนำมาทดลองเสียบดู ปรากฏว่าหยกเจริญเติบโตได้ดี และเร็ว ประกอบกับพบปัญหาที่ใบน้อยกว่าต้นเหลี่ยม ปัจจุบันจึงนิยมใช้ส้มเช้าต้นกลม

ตัด ยอดต้นส้มเช้า ให้ได้ขนาดสูงประมาณ 7-8 เซนติเมตร แล้วนำมาชำในวัสดุปลูก โดยใช้ดินใบก้ามปู 2 ส่วน แกลบ 1 ส่วน ปุ๋ยคอก 0.5-1 ส่วน มะพร้าวสับเล็ก 0.5-1 ส่วน โดยนำส่วนผสมต่างๆ ผสมให้เข้ากัน รดด้วยวิตามิน บี 1 (อัตราส่วน 4-5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร) พักไว้ 2-3 วัน ก่อนนำไปใช้ โดยฝังต้นตอลึกประมาณ 0.5 ของกระถาง ในช่วงฤดูหนาวการเจริญเติบโตจะช้ากว่าปกติ จะต้องปักชำต้นตอให้ลึกประมาณ 3/4 ของกระถาง และตัดยอดต้นส้มเช้าให้สูงกว่าปกติ หลังจากนั้นใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ต้นตอจะเจริญสูงขึ้น มีรากและต้นขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับต้นหยกที่นำมาเสียบ และได้ต้นตอสูงประมาณ 12-15 เซนติเมตร เผื่อไว้สำหรับตัดยอดออกอีกประมาณ 1-2 เซนติเมตร ตอนเสียบหยก  ปัจจุบันจะมีแหล่งที่ปลูกต้นส้มเช้าเพื่อใช้เป็นต้นตอ โดยใช้ระยะปลูก 1x1 เมตร ต้นส้มเช้า 1 ต้น จะผลิตได้ 20-30 ยอด สามารถตัดได้ทุกเดือน โดยส้มเช้าตอเดิมจะมีอายุให้ตัดยอดได้ประมาณไม่เกิน 5 ปี

2. การเสียบยอด:
ตัด ยอดต้นตอส้มเช้า แล้วผ่าต้นตอให้เป็นรูปตัว V หรือรูปลิ่มโดยมีดที่ใช้ต้องคม และควรจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนผ่า เลือกหยกแม่พันธุ์ที่ต้องการขยายมาเสียบยอด ควรเลือกต้นพันธุ์ที่หยกมีเนื้อใหญ่ สมบูรณ์ ถ้าจะให้ได้คุณภาพดี หยกควรมีลักษณะเป็นรูปพัด ไม่บิดงอ เพื่อจะได้ลักษณะที่ดีมีคุณภาพ และเนื้อหยกพัฒนาได้ดี โดยตัดเนื้อหยกเป็นรูปลิ่ม ขนาดกว้างของเนื้อหยกประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร มาเสียบลงในต้นตอ ซึ่งหยกต้นพันธุ์ขนาดกว้าง 12 เซนติเมตร จะตัดนำไปเสียบยอดได้ประมาณ 8 ชิ้น ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร จะตัดได้ประมาณ 20 ชิ้น เมื่อเสียบยอดแล้วใช้เชือกฟางมัดให้แน่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื้อหยกจะยุบตัวง่าย เนื่องจากการขยายเยื่อเจริญเป็นไปได้ช้า ต้องมัดให้แน่นขึ้นให้กระชับ ไม่ให้อากาศแทรกเข้าได้ แต่ไม่ถึงกับต้องแน่นตึงเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อหยกที่เสียบเน่าได้ง่ายเช่นกัน

วิธีการผูกเชือก ให้แน่น ใช้เชือกฟางเส้นเล็กมัดต้นตอให้ชิดด้านใดด้านหนึ่ง นำเชือกอีกด้านหนึ่งดึงขึ้นมาพาดให้ชิดเนื้อหยก แล้วใช้นิ้วชี้กดเชือกที่พาดผ่านเนื้อหยกไว้ พร้อมกับใช้ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งพันรอบต้นตอหลายๆ รอบ ตรงบริเวณรอยเชื่อม จากนั้นจึงมัดปลายเชือกทั้งสองเข้าด้วยกันจนแน่น

การเสียบยอดหยก เนื้อใส จะต้องพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ ผิวหยกต้องไม่ช้ำ ต้องแต่งเนื้อหยกให้สวย มีดต้องคม เนื่องจากเกิดความเสียหายได้ง่าย จึงไม่สามารถผลิตจำนวนมากได้ แต่ตลาดทั้งในและต่างประเทศต้องการมาก ส่วนใหญ่จะผลิตได้ 10-20% ของผลผลิตทั้งหมด ความสามารถในการเสียบยอดต่อวัน ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เสียบได้ประมาณ 300-500 ยอด ต่อ 1 คน แล้วแต่ความชำนาญ

เมื่อเสร็จกระบวนการเสียบยอดเรียบร้อยแล้ว นำต้นที่เสียบยอดเรียบร้อยแล้วไปไว้ในตู้อบพลาสติกที่ปิดมิดชิด อบไว้ประมาณ 7-10 วัน หากวันที่ไม่มีแดด หรือแสงแดดน้อยจะเปิดไฟให้ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับแสง เนื้อเยื่อหยกที่นำมาเสียบจะได้ติดเร็วขึ้น จากนั้นนำไปวางไว้ใต้ตาข่ายพรางแสง 60% จะทำให้เนื้อหยกไม่หยาบกร้าน ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน จึงตัดเชือกที่ผูกออก หรือถ้าไม่อบในตู้พลาสติก เมื่อเสียบยอดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะใช้ถุงพลาสติกคลุมแต่ละต้น ใช้ที่เย็บกระดาษเย็บ วางไว้ใต้ตาข่ายพรางแสง 80% ประมาณ 7-10 วัน แล้วแกะถุงพลาสติกออก รอไว้อีกประมาณ 2-3 วัน จึงตัดเชือก แล้ววางไว้ใต้ตาข่ายพรางแสง 80% อีกประมาณ 2 สัปดาห์ จึงค่อยนำออกไปเลี้ยงใต้โรงเรือนตาข่ายพรางแสง 60% ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง จะได้ขนาดหยกกว้าง 12-14 เซนติเมตร เรียกว่า size 1 หรือใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จะได้ขนาดหยกกว้าง 15-17 เซนติเมตร เรียกว่า size 2

การปลูกต้นโป๊ยเซียน

ชื่อที่เรียก
ต้นโป๊ยเซียน
ชื่ออื่นๆ
ระวิงระไว พระเจ้ารอบโลก ว่านเข็มพญาอินทร์ (เชียงใหม่) ไม้รับแขก (ภาคกลาง) ว่านมุงเมือง (แม่ฮ่องสอน)
หมวดหมู่ทรัพยากร
พืช
ลักษณะ
มีด อกซ้อนกันหลายดอก ขนาดของลำต้น ใบและดอกแตกต่างกันมาก มีหนามแหลมลำต้นแข็งแรง ลำต้นตั้งตรงหรือเอนลู่ห้อยลง  ใบหนาเป็นรูปใบพาย ออกดอกเป็นช่อ เช่น สีขาวครีม เหลือง ส้ม ชมพู ม่วง เขียว  ออกดอกตลอดปี  มีลำต้นแข็งแรง  มีหนามแหลม  คล้ายต้นตะบองเพชร  มียางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมใบมีสีเขียวเข้ม  บางชนิดมีจุดประต่าง ๆ บางชนิดมีขลิบสีอ่อน  และตรงใจกลางดอกมีสีต่าง ๆ กัน  บางชนิดมีชั้นเดียว  แต่บางชนิดมีดอกซ้อนกันถึง 6 ชั้น  ดอกบานตลอดปี  และออกดอกมากในฤดูหนาว ดอกบานทนทาน
ประโยชน์
             
ปลูกเป็นไม้ประดับสวยงาม เป้นไม้มงคล คนจีนนิยมปลูกกัน
ความ สำคัญ  - ต้นโป๊ยเซียนนั้น  บางคนเชื่อว่าเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย  หากผู้ใดปลูกต้นโป๊ยเซียน  ออกดอกได้ 8 ดอก  ก็จะมีโชคลาภ  ร่ำรวยเงินทอง  หรือได้เลื่อนยศเลื่อน
ตำแหน่งให้สูงขึ้น  คนโบราณเชื่อกันว่าครอบครัวใดปลูกโป๊ยเซียนเอาไว้ภายในบ้าน  ต้นไม้ชนิดนี้จะช่วยชักนำโชคลาภมาให้สมาชิกทุกคนภายในบ้าน  และยังเชื่ออีกว่าต้นโป๊ยเซียนยังช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าของ และครอบครัวให้มีแต่ความสงบสุข  เพราะต้นโป็ยเซียนนั้นเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์  ที่คอยคุ้มครองให้มนุษย์สงบสุขและ
มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง














 

                                           
 

การปลูกต้นสาวน้อยปะแป้ง






สาวน้อยประแป้ง เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่ม ชอบอากาศอบอุ่นและความชื้นสูง แต่ก็สามารถปรับตัวเจริญเติบโตได้ดีในห้องที่มีความเย็นและสภาพอาการแห้ง แล้ง จึงเป็นพืชที่ปลูกและดูแลง่าย คุณสมบัติของสาวน้อยประแป้งที่มีใบขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นไม้ประดับที่ดูดสารพิษภายในห้องได้เป็นอย่างดี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dieffenbachia
วงศ์ : Araceae
ถิ่นกำเนิด : อเมริกากลางและอเมริกาใต้
แสงแดด : ร่มรำไร
อุณหภูมิ : 16–27 องศาเซลเซียส
ความชื้น : ต้องการความชื้นสูง
น้ำ : ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล : ควรปลูกในที่ร่มรำไร ไม่ควรให้ถูกแสงแดดโดยตรง ไม่ควรรดน้ำมากเกินไปจนแฉะ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา หมั่นเช็ดใบด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1–2 ครั้ง
การปลูก : ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ ทรายหยาบ ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
การขยายพันธุ์ : ด้วยการตัดลำต้นชำ โดยตัดต่ำกว่ายอดลงมาประมาณ 1 ฟุต
อัตราการคายความชื้น : ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ : ปานกลางถึงมาก
ประโยชน์ : ใบต้มในน้ำมันใช้พอกแก้ปวดบวม อักเสบตามข้อ หรือ ทาแก้ฝีปวดบวม ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป

ต้นเศรษฐีเรือนใน




ต้นว่านเศรษฐีเรือนใน
 ลักษณะ เช่นเดียวกับเศรษฐีเรือนนอก และเศรษฐีเรือนกลาง ใบมีลักษณะเดียวกับเศรษฐีเรือนนอก แต่ลายด่างขาวหรือขาวนวลจะอยู่ส่วนกลางใบ ขอบใบเป็นสีเขียว ออกดอกเหมือนกับว่านเศรษฐีเรือนกลาง
ว่านเศรษฐีเรือนใน มีสรรพคุณด้านเสี่ยงทายและป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เช่นเดียวกับว่านเศรษฐีเรือนนอก และเศรษฐีเรือนกลาง
การปลูก
ควร ปลูกในดินร่วนซุย หรือดินปนทราย ที่ระบายน้ำได้ดี หากมีอิฐหักหรือหินเล็กๆ ปนลงไปด้วยจะช่วยให้แตกกอเร็วขึ้น ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ ความชื้นสูง แดดรำไร จะปลูกลงกระถางแขวน หรือกระถางทรงเตี้ยปากกว้างก็สวยงามดี
ดูแลรักษา
แสง          ชอบแสงสว่างมาก แต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง
น้ำ             ต้องการความชื้นต่ำ รดน้ำแต่พอควร อาทิตย์ละครั้งก็พอ
ดิน            ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ดินทราย 1 ส่วน เศษอิฐ 1 ส่วน
ปุ๋ย            ให้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรด 2 เดือน / ครั้ง
กระถาง    เปลี่ยนกระถางปีละ 1 ครั้ง
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากไหลไปปลูกใหม่